วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ต่างกัน

ต่างกัน

ผมยอมรับว่าผมติดหูฟัง การใช้ชีวิตในตัวเมืองที่เสียงรถ เสียงแตร เสียงคน เสียงนู้น เสียงนี่ เสียงนั้น แข่งกันดังวุ่นวายไปหมด การใสหูฟังฟังความสุนทรีย์ของเสียงเพลงในท่วงทำนองที่ชอบ ดูจะเป็นเรื่องปกติของคนตัวเมือง

(ย้ำอีกครั้ง) ผมยอมรับว่าผมติดหูฟัง เวลาออกจากบ้าน เดินทางไปไหนก็ตาม หูฟังถูกเสียบใส่หูแทบจะก่อนใส่รองเท้า หูฟังที่มีตามท้องตลาดผมแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง(อุดเข้าไปในหู) กับ แบบได้ยินเสียงรอบข้าง (แบบไม่อุดเข้าไปในหู) ผมเลือกใช้แบบได้ยินเสียงรอบข้าง เพราะมันแถมฟรีมากับมือถือ >< ไม่ใช่!! เพราะแบบนี้มันไม่ได้ตัดเราจากสิ่งรอบตัว มันยังมีโอกาสได้ยินเสียงคนที่ทัก เสียงรถที่บีบแตรเตือน ยังมีโอกาสให้ได้ยินสิ่งรอบตัว 

ในการเดินทางทุกครั้ง ผมทิ้งเจ้าหูฟังไว้บ้าน จะได้เปิดรับฟังสิ่งใหม่ๆได้เต็มที่ แบบว่า รับเข้าทุกโสตประสาท ซึ่งการไปภูกระดึงครั้งนี้ ครั้งที่ 2 ผมเอาหูฟังไว้บ้าน เปิดให้ ตาดู หูฟัง เสียงธรรมชาติ แต่ขึ้นชื่อว่า ภูกระดึงต่อให้เราไปในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงเที่ยว ผู้คนก็เป็นสื่งที่เราจะต้องพบเจอ คนที่เดินขึ้นภู เดินบนภู เดินลงภู หลายๆกลุ่มจะเปิดเพลงฟัง ไม่ก็เสียบหูฟังฟังเพลง มันทำให้นึกถึงตอนมาครั้งแรก ผมและเพื่อนๆก็เปิดเพลงฟังระหว่างเดิน จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง 

พฤติกรรมแบบนี้มันชวนเอะใจให้คิด ครั้งนี้กับครั้งนั้น มันต่างกันตรงไหน กลุ่มเพื่อน ทัศนียภาพ มันอาจไม่ใช่ มันอาจอยู่ข้างใน อยู่ที่ความคิด อยู่ที่การให้ความสำคัญ อาจเป็นไปได้ที่ครั้งแรกต้องเปิดเพลงฟังเพราะตัวเราให้ความสำคัญที่จุดหมาย ระหว่างทางจึงน่าเบื่อ เพลงจึงเข้ามาช่วยผ่อนคลายแก้เบื่อแก้เหงา 

ครั้งนี้ความสำคัญคือระหว่างทาง จุดหมายก็ยังเป็นจุดหมาย แต่การเรียนรู้มันเริ่มตั้งแต่ก้าวแรก ระหว่างทางจึงสำคัญ หูฟังเลยไม่จำเป็น เพลงเลยพักไว้ก่อน ฟังท่วงทำนองของธรรมชาติขับกล่อมแทน

มันอาจต่างกันนิดเดียว ระหว่างใส่หูฟัง กับ ไม่ใส่หูฟัง แต่ถ้าทุกคนใส่หูฟังกันหมด ระหว่างทางคงไม่จำเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น